หมวดที่ 9
การเงิน
ข้อ 32. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน 100,000.- บาท ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป ส่วนการบริจาคเงินตามวัตถุประสงค์ข้อ 4. จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากก่อนทุกครั้ง
ข้อ 33. ให้มีเงินสดย่อยสำหรับการใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดของสำนักงานมูลนิธิ วงเงิน 30,000 บาท โดยอยู่ในความรับผิดชอบของเหรัญญิก
ข้อ 34. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงิน หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ หรือสลากออมสิน หรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีหลักประกันมั่นคงแล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 35. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน กับเลขานุการ หรือเหรัญญิก ลงนามทุกครั้งจึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ 36. ในการใช้จ่ายเงินของมูลนิธิ ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ และเงินที่ผู้บริจาคได้แสดงเจตนาให้จ่ายจากเงินนั้นโดยไม่ต้องอาศัยจากดอกผล
ข้อ 37. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชี และทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับการรับ และจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 38. ให้มีผู้สอบบัญชีของมูลนิธิซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคคลที่มิใช่กรรมการ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิ โดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ หรือได้รับค่าตอบแทนอย่างไร สุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนด
ข้อ 39. ผู้สอบบัญชี มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของมูลนิธิและรับรองบัญชีรายรับ-รายจ่าย และงบดุลประจำปีที่คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องรายงานต่อกระทรวงมหาดไทยผู้สอบบัญชีมีสิทธิตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การบัญชี และเอกสารดังกล่าวได้ |
|
หมวดที่ 10
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ 40. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ จะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมติให้แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อบังคับ ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม |
|
หมวดที่ 11
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ 41. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการหรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่สภากาชาดไทย และมูลนิธิสายใจไทย แห่งละเท่า ๆ กัน
ข้อ 42. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้นนอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุต่อไปนี้
42.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นสัญญาเต็มจำนวน
42.2 เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
42.3 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
42.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ |
|
หมวดที่ 12
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 43. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 44. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้กำหนดไว้
ข้อ 45. มูลนิธิจะต้องไม่ทำการค้ากำไร และจะต้องไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากข้อบังคับที่กำหนดไว้ |
|